🔦พาส่องเกร็ดความรู้ประวัติศาสตร์จีนผ่านสีสันต่าง ๆ 🌈

ประเทศจีนเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอารยธรรมและศิลปวิทยาการมานานกว่า 5,000 ปี ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นประเทศที่ได้นำความรู้ที่มีอย่างช้านานมาพัฒนาปรับใช้ จนกลายมาเป็นประเทศมหาอำนาจที่ยังคงรักษาวัฒธรรมของตนไว้อย่างเหนียวแน่น จึงเป็นเรื่องที่คุ้นชินโดยทั่วกันว่า ประเทศจีนมักมีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจอยู่เสมอ วันนี้น่ำเอี๊ยงจึงนำเกร็ดความรู้ประวัติศาสตร์จีนผ่านเรื่องราวของสีมาฝากทุกคนกัน

💜สีม่วง กับประวัติชวนพิศวง!🎆

ถ้าพูดถึงสีม่วงแล้วนั้น อาจทำให้ทุกคนนึกถึงความหรูหราและราชวงศ์ เพราะเป็นสีสากลที่สื่อถึงชนชั้นสูง ซึ่งทุกคนอาจคาดเดากันว่าสีม่วงถูกค้นพบจากผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาในพระราชวัง แต่ในประเทศจีนนั้น “สีม่วงจีน” หรือ Chinese Purple กลับถูกค้นพบบนตัวหุ่นทหารดินเผา (兵馬俑) ในสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ (秦始皇兵馬俑) ซึ่งกลายเป็นเรื่องที่น่าฮือฮาเป็นอย่างมาก เพราะในสมัยโบราณ สีส่วนใหญ่มักเป็นสีที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ แต่เมื่อมีการตรวจสอบกลับพบว่าสีม่วงจีนนั้นเป็นสีที่มีกระบวนการสังเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ จึงทำให้นักวิชาการเกิดทฤษฏีที่ว่า ชาวจีนอาจได้รับศิลปวิทยาการมาจากองค์ความรู้เรื่องสีน้ำเงินของประเทศอียิปต์ที่เป็นการสังเคราะห์สีเช่นเดียวกันที่มีมานานพันปีแล้ว

อย่างไรก็ตาม เมื่อปี 2007 ทีมนักฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดได้ตีพิมพ์ลงในวารสาร Journal of Archaeological Science พบว่าสีสังเคราะห์บนหุ่นทหารดินเผาของจีนมีธาตุแบเรียม (Barium) เป็นองค์ประกอบหลัก ซึ่งแตกต่างจากกสีน้ำเงินของอียิปต์ที่มีองค์ประกอบเต็มไปด้วยธาตุแคลเซียม (Calcium) นักวิชาการจึงได้ปัดตกข้อสันนิษฐานข้างต้นไปในที่สุด

แต่แล้วก็เกิดทฤษฎีใหม่ที่ว่าแท้จริงแล้ว สีม่วงจีนนั้นเกิดจากการคิดค้นโดยคนจีนเอง ซึ่งนักวิชาการก็ได้ศึกษาจากวัตถุโบราณอายุใกล้เคียงกัน และได้ข้อสันนิษฐานว่าสีม่วงจีนเกิดจากนักพรตลัทธิเต๋าที่เล่นแร่แปรธาตุเพื่อพัฒนาหยกแก้วที่ช่วยให้เป็นอมตะ และเหตุผลที่มีสีม่วงอยู่บนตัวหุ่นทหารดินเผาก็เพื่อเป็นการแสดงถึงความยิ่งใหญ่และเฟื่องฟูของราชวงศ์ฉินก็เป็นได้ แต่ทว่าเวลาต่อมาในสมัยราศวงศ์ฮั่นกลับไม่พบสีม่วงจีนอีกเลย จึงมีการคาดเดาว่าอาจเป็นเพราะสำนักคิดหรูเจีย (儒家) ของขงจื่อ (孔子) ที่ไม่เชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติ เริ่มมีอิทธิพลต่อความคิดของชาวจีนและราชสำนักต่าง ๆ จนในสุดนักพรตลัทธิเต๋าก็ได้ถดถอยลงไปเนื่องจากมีแนวคิดที่ขัดแย้งกัน

💛สีเหลือง สีโปรดของฮ่องเต้🐉

เป็นภาพคุ้นตาที่หลายคนอาจเคยเห็นในภาพยนตร์จีน ว่าฮ่องเต้ (หวงตี้ 皇帝) มักจะสวมอาภรณ์สีเหลืองอยู่เป็นประจำ ซึ่งในทางประวัติศาสตร์นั้นก็มีหลักฐานว่าฮ่องเต้ในสมัยราชวงศ์สุยและราชวงศ์ถังสวมใส่อาภรณ์สีเหลืองอยู่จริง

หากย้อนกลับไป เดิมที “สีเหลือง” นั้นเป็นสีที่สามัญชนนิยมสวมใส่ เพราะสามารถหาวัสดุธรรมชาติย้อมสีได้ง่าย และถูกจัดให้เป็นสีระดับล่างอีกด้วย แต่สีเหลืองเริ่มมามีบทบาทในช่วงสมัยราชวงศ์สุย โดยมีบันทึกในพงศาวดาร หมวดธรรมเนียมปฏิบัติ (隋書·禮儀志) ระบุว่า “เฉาฝู” (朝服) หรือฉลองพระองค์ทางการของฮ่องเต้ก็เป็นสีเหลืองเช่นเดียวกับสามัญชน แต่สีเหลืองของฮ่องเต้นั้นจะเป็น “สีเหลืองดิน” (เจ่อหวง 赭黄) ซึ่งมีข้อสันนิษฐานว่าเป็นเพราะราชสำนักของฮ่องเต้ในราชวงศ์สุยเน้นความพอเพียง จึงนิยมใช้สีที่หาย้อมได้ง่ายในธรรมชาติแทนสีอื่น ๆ

จนเมื่อราชวงศ์ถังขึ้นครองราชย์ ก็ได้รับอิทธิพลด้านการแต่งกายมาจากราชวงศ์สุยไปด้วย และมีการตั้งกฎให้สีเหลืองแดงเป็นสีประจำตัวของฮ่องเต้ ห้ามมิให้สามัญชนสวมใส่โดยเด็ดขาด เพราะสีเหลืองแดงเป็นสีที่โดดเด่น โดยสีเหลืองเปรียบเสมือนแสงเรืองรองล้อมรอบสีแดงของดวงอาทิตย์ ที่เป็นสัญลักษณ์ของฮ่องเต้ และยังมีความเชื่อที่ว่า “ฟ้าไม่อาจมีดวงอาทิตย์พร้อมกันสองดวง”

อีกแง่หนึ่งคือ ชาวจีนโบราณนั้นมีความเชื่อเรื่องธาตุทั้ง 5 (五行) โดยธาตุประจำราชวงศ์ถังนั้นเป็นธาตุดิน ซึ่งมีสีประจำธาตุคือสีเหลือง จึงอาจเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ราชวงศ์ถังเลือกสีเหลืองเป็นสีประจำตัวของฮ่องเต้ และสืบทอดวัฒนธรรมต่อไปในราชวงศ์อื่น ๆ จนกลายมาเป็นสีที่ปรากฏในภาพวาดกษัตริย์จีนโบราณ และถูกถ่ายทอดไปในสื่อต่าง ๆ อย่างที่คนเห็นในปัจจุบัน

ทำไมคนจีนต้องคู่กับสีแดง?🚩

หากพูดถึงสีแดง สิ่งที่คนนึกถึงเป็นอันดับแรกคงเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากความโกรธ ซึ่งมีที่มามาจากสีหน้าของคนเวลาที่มีอารมณ์โมโหก็มักจะหน้าเปลี่ยนสีเป็นสีแดงก่ำจากการสูบฉีดของเลือด จนมีวลี “โกรธจนเลือดขึ้นหน้า” เกิดขึ้นมาเลยทีเดียว

แต่ในประเทศจีนกลับมีความเชื่อว่า “สีแดง” นั้นเป็นสีแห่งความมงคลและสื่อถึงพลังอำนาจ จนครั้งหนึ่งเคยเป็นของประจำตัวของฮ่องเต้มาแล้ว เนื่องจากภูมิอากาศประเทศจีนเป็นเมืองหนาวที่ไม่ค่อยมีแสงแดดส่องถึง วันที่ฟ้าโปร่ง หรือมีแสงแดดตลอดทั้งวันจึงเป็นที่โปรดปรานของชาวจีนโบราณเป็นที่สุด สีแดงที่เป็นสัญลักษณ์ถึง แสงสว่าง ความอบอุ่น ดั่งดวงอาทิตย์ จึงถือเป็นสีมงคล

อีกทั้งชาวจีนโบราณมีความเชื่อเรื่องธาตุทั้ง 5 (五行) ที่ประกอบไปด้วย ธาตุน้ำ ธาตุไม้ ธาตุไฟ ธาตุดิน และธาตุทอง เป็นอย่างมาก โดยสีแดงนั้นถือเป็นสีประจำธาตุไฟ ซึ่งเป็นธาตุที่หมายถึง ความรุ่งโรจน์ อำนาจบารมี และความสว่างไสว ซึ่งล้วนแล้วแต่มีความหมายมงคล จึงเป็นสีที่ถูกนำไปประกอบเข้ากับวัฒนธรรมจีนอยู่เป็นประจำ

ตัวอย่างเช่น ในเทศกาลตรุษจีน ผู้คนจะแต่งกายด้วยชุดสีแดง และแจกอั่งเปา (红包) หรือซองสีแดงที่มีเงินหรือขนมอยู่ด้านในให้ลูกหลานเพื่อสื่อถึงความปรารถนาดี นอกจากนี้คนจีนยังมีความเชื่อว่าสีแดงนั้นสามารถปัดเป่าสิ่งชัวร้าย หรือภูติผีปีศาจได้ เพราะถือเป็นสีแห่งพลังอำนาจ หากบ้านไหนมีสีแดงตกแต่งบ้านไว้ ก็จะมีชีวิตที่ราบรื่นนั่นเอง (สามารถอ่านเรื่องราวของสีแดงเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/numeiang/photos/pb.100064037472320.-2207520000/6382520201782597/?type=3 )

 

Reference :

https://www.silpa-mag.com/history/article_84290

https://www.blockdit.com/posts/62870938b8f550cde0497a1d 

https://www.people.vcu.edu/~djbromle/color-theory/color01/Chinese-Color-Theory-The-Symbolism-of-Color-in-Traditional-Chinese-Culture.html#:~:text=Yellow%2C%20the%20royal%20color%20used,color%20for%20the%20 imperial%20 household

https://mgronline.com/china/detail/9640000013049 

https://medium.com/story-of-eggbun-education/why-is-red-considered-a-lucky-color-for-the-chinese-2ebe2b044275 

NumEiang

NumEiang